ทีมชาติอังกฤษ ในยูโร 2020

ทีมชาติอังกฤษ ในยูโร 2020 แม้จะเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่สุดท้ายก็พ่ายต่อ อิตาลี ในการดวลจุดโทษชี้ขาด ถือว่าทำได้ไม่เท่ากับที่หลายคนคาดหวังครับ เพราะพวกเค้าได้เล่นในบ้านตัวเอง 6 จาก 7 นัด แถมสิ่งที่คนจดจำ คือทีมที่คว้าแชมป์ในท้ายที่สุดอยู่ดี

วันนี้ kickoff88 จะพามา รีวิวผลงานของทัพ สิงโตคำราม ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหนนี้ ว่าโดยรวมแล้ว พวกเค้าทำผลงานเป็นอย่างไร และอนาคตข้างหน้าของพวกเค้า จะยังไหวอยู่ไหม

วิเคราะห์ ทีมชาติอังกฤษ ในยูโร 2020

เริ่มแรก จากการตัดตัวเหลือ 26 คนสุดท้ายของ แกเร็ท เซาท์เกต ถือว่าน่าสนใจ เพราะพกแบ็คขวามาถึง 4 คน แม้ในช่วงท้าย ทาง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาโนลด์ จะถอนตัวออกไปจากอาการบาดเจ็บ รวมถึงสองแข้งซีเนียร์อย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ไม่ได้สมบูรณ์ 100%

การปรับทัพในช่วงแรกค่อนข้างน่าเป็นห่วง เนื่องจากคู่กลางของพวกเค้าอย่าง เดแคลน ไรซ์ และ คัลวิน ฟิลลิปส์ ไม่มีประสบการณ์ในรายการระดับเมเจอร์เลย ทั้งในสโมสรและทีมชาติ

แต่ผลออกมา ทั้งคู่สามารถจับคู่เล่นกันได้อย่างลงตัว คนนึง (เดแคลน ไรซ์) คอยประคองหน้ากองหลัง ส่วนอีกคน (คัลวิน ฟิลลิปส์) ใช้จุดเด่นจากการเล่นในสโมสร วิ่งขึ้นวิ่งลงไม่มีหมด จนเหมือนจะมีผู้เล่นเพิ่มมาอีกคน

ปัญหาคือตำแหน่งริมเส้น โดย เซาท์เกต ตัดสินใจใช้ ราฮีม สเตอร์ลิง เป็นตัวหลัก โดยเก็บทั้ง จาดอน ซานโช่, แจ็ค เกรียลิช, มาร์คัช แรชฟอร์ด รวมถึง ฟิล โฟเด้น ที่เกมหลังๆ ก็กลายเป็นเพียงตัวสำรองเท่านั้น

ซึ่งในช่วงแรก พวกเค้ามาในแผนหลังสาม และปรับสไตล์มาเล่นแบบ ขอไม่แพ้ไว้ก่อน เลยกลายเป็นว่ารูปเกมค่อนข้างอึดอัด เนื่องจากพวกเค้าแค่เคาะบอลไปมา ไม่มีการสวิทบอลเปลี่ยนฝั่ง หรือเล่นจังหวะเสี่ยงๆ เลย

ทำให้สามเกมแรกในรอบแบ่งกลุ่ม พวกเค้าไม่เสียซักประตู แต่ก็ทำได้เพียงสองประตูจากการเหมาของ ราฮีม สเตอร์ลิง แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเค้าผ่านเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มดี ด้วยการชนะ 2 (สกอร์ 1-0 ทั้งสองนัด) และเสมอ 1 (0-0)

แต่สิ่งที่ตามมา คือเสียงโห่ร้องของแฟนบอล เนื่องจากรูปเกมเล่นได้น่าเบื่อสุดๆ ซึ่งก็แลกมาด้วยผลงานที่เข้าเป้า ก่อนที่จะต้องไปพบกับ เยอรมัน คู่แค้น ที่เวลาคู่นี้เจอกันทีไร มีดราม่าให้จดจำทุกครั้งไป

ซึ่งทาง อังกฤษ ก็มาแผนหลังสามเช่นเดิม หลังจากสองเกมหลังในรอบแบ่งกลุ่มปรับมาเล่นหลังสี่ ตรงนี้ได้ข้อสังเกตุว่าพวกเค้าจะใช้หลังสาม ยามเจอกับทีมระดับท็อปของยุโรป เฉกเช่นการเจอกับ โครเอเชีย ในนัดเปิดสนามนั่นเอง

แต่ด้วยแผนรับเหนียวแน่น ก็ทำเอา เยอรมัน ไปไม่เป็นเหมือนกัน บวกกับทาง อินทรีเหล็ก อยู่ในช่วงขาลง ช่วง 20 นาทีสุดท้าย อังกฤษ แก้เกมปรับมาเล่นเกมรุกมาขึ้น โดยการส่ง แจ็ค เกรียลิช ลงมาแทน บูกาโย่ ซาก้า อีกหนึ่งริมเส้นที่เล่นเกมรับได้ดี

และเป็นที่มาของสองประตูชัยในช่วงท้ายเกม ทำเอา อังกฤษ ผ่านเข้ารอบ 8 ทีม แบบที่ เยอรมัน แทบจะไม่มีโอกาสได้ลุ้นประตูเลย นอกจากจังหวะส้มหล่นของ โธมัส มุลเลอร์ ที่เหลือมีแต่ลูกยิงไกลล้วนๆ

พอในรอบก่อนรองชนะเลิศ พวกเค้าต้องออกไปเล่นนอกบ้านเป็นนัดแรก พวกเค้าเจอกับงานง่ายอย่าง ยูเครน ซึ่งเกมนี้ อังกฤษ มาขึ้นนำเร็วจาก แฮร์รี่ เคน ทำเอาแท็คติกที่ ยูเครน วางมา ต้องพังไปอย่างรวดเร็ว เพราะหลังจากนั้นกลายเป็นบอลเข้าทางของพวกเค้าเต็มๆ

ก่อนที่จะมาบวกเพิ่มอีกสามประตู จากลูกโหม่งในช่วงครึ่งหลัง เรียกได้ว่าเกมนี้เป็นเกมที่ง่ายที่สุดของทัพ สิงโตคำราม ในรายการนี้เลย ขนาด จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่เล่นทีมชาติมา 60 กว่านัด ยังมาทำประตูแรกในนามทีมชาติได้ในนัดนี้

ในรอบรองชนะเลิศ พวกเค้าต้องพบกับ เดนมาร์ก ที่พลิกนรกมาจากในรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งเกมพวกเค้าได้กลับมาเล่นที่ เวมบลีย์ อีกครั้ง เพราะในรอบรอง และรอบชิงชนะเลิศ จะแข่งกันที่ เวมบลีย์ ทั้งหมด

ผลก็คือ อังกฤษ เอาชนะมาได้ จากการซ้ำจุดโทษของ แฮร์รี่ เคน ซึ่งเอาจริงๆ จุดโทษลูกนี้ไม่ควรได้เลย หากดูจากภาพช้า จะเห็นได้ว่า ราฮีม สเตอร์ลิง เจตนาพุ่งล้มเอาจุดโทษ แถมกรรมการดันบ้าจี้เป้าให้ และ VAR เกมนี้โดนด่าไปทั่วโลก

บวกกับความขี้โม้ ที่พยายามชูเรื่อง Football’s Coming Home เลยโดยหมันไส้จากทั่วทุกสารทิศ ทางคู่แข่งในนัดชิงอย่าง อิตาลี เลยสบโอกาสออกมาข่มกลับว่า Football’s Coming to Rome แทน (555)

โดยในรอบชิง อังกฤษ มาขึ้นนำเร็วมากจาก ลุค ชอว์ เราจึงได้เห็นพวกเค้าลงไปตั้งรับเต็มตัวยิ่งกว่าเดิม ซึ่งทาง อิตาลี ในครึ่งแรกก็พยายามขึ้นเกมจากทางด้านข้าง ซึ่งอังกฤษ ก็ซื้อให้ปล่อยให้เปิด โดยพวกเค้าไปตั้งป้อมรับในเขตโทษแทน

เรียกได้ว่าเป็นหมากที่ยอดเยี่ยม เพราะ อิตาลี แทบจะเปิดไม่เข้าเป้าเลย อาจจะมีแค่ครั้งเดียวที่พวกเค้าได้ยิงประตูจากการเปิดจากด้านข้าง จากจังหวะของ ชิโร่ อิมโมบิเล่ นั่นเอง

ก่อนที่ในครึ่งหลัง อิตาลี จะปรับหมากมาเจาะตรงกลางมากขึ้น ซึ่งตัวแสบที่แนวรับ อังกฤษ เอาไม่อยู่คือ เฟเดริโก้ คิเอซ่า แนวรุกจากทาง ฟิออเรนติน่า ที่โดนยืมไปอยู่กับ ยูเวนตุส นั่นเอง

และทาง อังกฤษ ก็มาโดนตีเสมอจากลูกตั้งเตะ เป็นทาง โบนุชชี่ ที่ซ้ำลูกเก็บตกเข้าไป เรียกได้ว่าโดยรวม ทาง สิงโตคำราม ก็ป้องกันเกมบุกของ อิตาลี ได้ดีพอสมควร ทำให้สองประตูที่พวกเค้าเสียในรายการนี้ มาจากลูกตั้งเตะล้วน (อีกลูกคือฟรีคิกในเกมกับ เดนมาร์ก)

หลังจาก คิเอซ่า โดยเก็บจนต้องเปลี่ยนตัวออกไปในช่วงท้ายเกม ประกอบกับพวกเลี้ยงกินตัวของ อิตาลี หายไปเกือบหมดแล้ว ทำเอา อังกฤษ กลับมาเป็นฝ่ายบุกอยู่ข้างเดียว เนื่องจาก อิตาลี นั้นหมดมุขแล้วนั่นเอง

ซึ่งทาง อิตาลี แม้ช่วงหลังจะปรับมาเล่นเกมรุกจนน่าตกใจก็ตาม แต่พอสถานการณ์มาบีบให้พวกเค้าต้องเล่นเกมรับ พวกเค้าก็เล่นกันได้อย่างยอดเยี่ยม โดย อังกฤษ แทบจะไม่มีโอกาสส่องประตูเลย ทำให้ต้องดวลจุดโทษตัดสิน

สุดท้ายเป็นทาง อิตาลี เอาชนะไป 3-2 โดยสามคนของ อังกฤษ ที่ยิงไม่เข้าก็ได้แก่สามตัวสำรองอย่าง แรชฟอร์ด, ซานโช่ และ ซาก้า ซึ่งเป็นดาวรุ่งทั้งหมด โดยเฉพาะสองรายแรกนั้นถูกเปลี่ยนตัวลงมาไม่กี่นาทีก่อนหมดเวลา เพื่อยิงจุดโทษโดยเฉพาะ

ถือว่าเป็นหมากที่เสี่ยงมาก เนื่องจากทั้งสองคนนั้นแทบจะไม่ได้สัมผัสบอลเลย ดังนั้นลืมเรื่องได้ง้างยิงประตูไปเลยครับ ซึ่งการที่พวกเค้ายังจับจังหวะไม่ได้มากพอ ต่อให้ซ้อมมาดีขนาดไหน ย่อมมีผลเวลาต้องยิงจุดโทษ

บทสรุป

ทำให้สุดท้าย พวกเค้าก็จบเพียงรองแชมป์ ยังต้องรอคอยสำคัญความสำเร็จในรายการทีมชาติต่อไป หลังจากครั้งล่าสุดที่พวกเค้าได้แชมป์ คือฟุตบอลโลก 1966 ที่พวกเค้ารับหน้าเสื่อเป็นเจ้าบ้าน เมื่อประมาณ 55 ปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ด้วยผู้เล่นในชุดปัจจุบันยังมีอายุน้อยมาก รวมถึงยังมีตัวเลือกที่หลายคนที่จะสอดแทรกเข้ามาเป็นตัวเลือกให้กับพวกเขา ดูแล้ว อนาคตของทัพ สิงโตคำราม ค่อนข้างสดใส หากแต่สไตล์การเล่นแบบเน้นผลเกินไปในปัจจุบัน จะดีหรือไม่ คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ

แฟนบอลโปรไลเซนส์

By KICKOFF

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *