ผลงานทีมชาติไทยในเอเอฟเอฟ แชมเปี้ยนชิพ 2021 รอบแบ่งกลุ่ม

ย้อนดู ผลงานทีมชาติไทยในเอเอฟเอฟ แชมเปี้ยนชิพ 2021 รอบแบ่งกลุ่ม กันซักหน่อย หลังจากที่ทัพ ช้างศึก ลงเล่นเกม รอบแบ่งกลุ่มครบทั้ง 4 นัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ ทีมชาติไทย จะลงเล่นรอบรองชนะเลิศ ในวันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม และวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม

โดย เก่งหลังเกม จะมาสรุปผลงาน ของทีมชาติไทย ในเกมรอบแบ่งกลุ่ม ตั้งแต่นัดแรก ถึงนัดสุดท้าย พร้อมบทวิเคราะห์ฟุตบอล ในสไตล์ของพวกเรา

ผลงานทีมชาติไทยในเอเอฟเอฟ แชมเปี้ยนชิพ 2021 รอบแบ่งกลุ่ม

เกมแรก vs ติมอร์-เลสเต

เกมนี้ทัพช้างศึก ส่งผู้เล่นแบบขัดใจแฟนบอล ส่วนนึงเพราะว่าตัวหลัก จากเจลีก ทั้ง เจ้าอุ้ม ธีราทร บุญมาทัน และ เมสซี่เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ยังไม่ได้เดินทางมา หลังจากเสร็จศึกของสโมสร และยังอยู่ในช่วงกักตัว

โดยเกมนี้ ไทย ส่งผู้เล่นแบ็คขวา ลงพร้อมกับถึงสองคน ได้แก่ นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม กับ ทริสตอง โด ซึ่งทาง มาโน่ โพลกิ้ง จัดให้ โด ไปเล่นเป็นแบ็คซ้าย แต่สิ่งที่แฟนบอลจดจำมากที่สุด ไม่ใช่การโชว์ฝีเท้าในเกม แต่เป็นการเสยผมของเจ้าตัว

บวกกับการส่ง มิดฟิลด์เชิงรับ ลงเล่นพร้อมกันถึง 3 คน ได้แก่ สารัช อยู่เย็น พิธิวัฒน์ สุขจิตธรรมกุล และ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ทำให้เกมรุกของทีมชาติไทย ดูไร้สีสันพอสมควร ก่อนจะได้ ธนวัฒน์ ซึ้งจิตรถาวร ลงมาสร้างสรรเกม ได้อย่างไหลลื่น

เกมนี้ทีมชาติไทย เอาชนะไปได้ 2-0 จากประตูของ ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ ที่ลงมาเป็นสำรอง บวกกับประตูของ สุภโชค สารชาติ ในช่วงท้ายเกม ช่วง ช้างศึก เก็บสามแต้มแรก ได้แบบตะกุกตะกักพอสมควร

เกมที่สอง vs เมียนมาร์

ในเกมนี้นั้น ทีมชาติไทย มาด้วยชุดใหญ่จัดเต็ม หลังจากเกมแรก โดนคำวิจารณ์ไปพอสมควร หลังจัดตัวแปลกๆ แล้วเล่นกันได้ค่อนข้างอึดอัด ซึ่งพอนักเตะตัวหลัก มากันพร้อมหน้า เลยดูกลายเป็นคนละทีม แถมแผนของ มาโน่ ดูยกระดับขึ้นมาเรื่อยๆ

ซึ่งอาจจะเป็นเพราะ ผู้เล่นแต่ละคน เริ่มได้ใช้เวลาฝึกซ้อมร่วมกันมากขึ้น โดยมีแกนหลักเป็นนักเตะซีเนียร์ ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้ว ทำให้เกมนี้พวกเขาต้อน พม่า ไป 4-0 จากสองประตูของ ธีรศิลป์ แดงดา และสองประตู ในช่วงท้ายเกมของ วรชิต กนิษศรีบำเพ็ญ กับ สุภโชค สารชาติ

ส่งผลให้ ไทย เก็บ 6 แต้มเต็ม จากสองนัดแรก แถมยังไม่เสียซักประตู แม้กองหลังจะดูมึนๆ ในบางจังหวะ แต่ก็สามารถเก็บคลีนชีทมาได้ แบบหืดขึ้นคอพอสมควร แม้เกมรุกของ พม่า จะดูเก้ๆ กังๆ ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว แต่เราก็เล่นกันให้มันมีกันเอง

เกมที่สาม vs ฟิลิปปินส์

เป็นงานที่ยากขึ้น หากเทียบกับสองนัดแรก โดยทาง ฟิลิปปินส์ หวังมาเอาชนะ เพราะพวกเขายังมีโอกาสเข้ารอบ โดยทีมชาติไทย ปรับหนึ่งตำแหน่งจากนัดที่แล้ว โดยส่งให้ สุภโชค สารชาติ ลงตัวจริงแทน ศุภชัย ใจเด็ด ที่ยังทำอะไรได้ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แถมเล่นดูไม่ทันพี่ๆ

และเกมนี้ ไทย ก็ยังเล่นกันได้ลื่นไหลดีขึ้นกว่าเดิม ต้องยอมรับว่า ทีมของ มาโน่ โพลกิ้ง เล่นได้ใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการต่อบอลเท้าสู่เท้า ไม่มีเตะมั่วซั่วให้เห็น และที่สำคัญคือการเล่นเพลสซิ่ง ที่ทำได้ดีพอสมควร แม้จะเจอทีมในระดับอาเซียนก็ตาม

ที่น่าห่วงก็ยังคงเป็นกองหลัง ที่พอจะเข้าใจได้ เพราะรับบทหนักในเกมรับ หลังกองกลาง พยายามเพลสตั้งแต่กลางสนาม หากโดนคู่แข่งแก้เพลสได้ ก็ต้องไปวัดกับกองหลัง ซึ่งจุดอ่อนก็คือ ดูจะยืนห่างจากกองกลาง ค่อนข้างเยอะ จนคู่แข่งมีเวลาตั้งหลัก

สุดท้าย ช้างศึก ก็สามารถเอาชนะไปได้ 2-1 แบบหืดขึ้นคอ หลังออกนำไปก่อนจาก ธีรศิลป์ ในช่วงครึ่งแรก ก่อนจะโดนตีเสมอ จากจังหวะผิดพลาดของ มานูเอล ทอม เบียรห์ ก่อนที่ พี่มุ้ย จะมายิงจุดโทษในช่วงท้ายเกม ให้ทีมชาติไทย เก็บ 9 แต้มเต็มได้สำเร็จ

เกมที่สี่ vs สิงคโปร์

ทางกุนซือช้างศึก อย่าง มาโน่ โพลกิ้ง จัดการเปลี่ยนผู้เล่นยกชุด แต่ก็ยังหวังเอาชัยชนะ เกมนี้เปลี่ยนตั้งแต่ผู้รักษาประตู เพราะการันตีการเข้ารอบไปแล้ว แถมยังต้องการพักตัวหลัก บวกกับให้โอกาสผู้เล่นคนอื่นๆ ได้ลงสัมผัสเกม

แต่เกมนี้พวกเขา ก็ยังเล่นกันอยู่ในเกณฑ์ดี ผู้เล่นหลายคนแจ้งเกิด กับทีมชาติไทยแบบเต็มตัว ทั้ง วีระเทพ ป้อมพันธ์ุ ที่ประเดิมเกมแรก ในนามทีมชาติ แต่เล่นได้เหนือชั้น บวกกับอายุอานาม มีสิทธิ์แจ้งเกิด ยึดตำแหน่งตัวจริงทีมชาติได้เลย

ซึ่งการเจอกับชาติเจ้าภาพ แม้จะเข้ารอบไปแล้ว แต่เกมนี้ไทยเราเหนือกว่าเยอะ แม้จะใช้ผู้เล่นสำรองยกทีม สุดท้ายก็เอาชนะไปได้ 2-0 จากลูกซ้ำจ่อๆ หน้าประตูของ เอเลียส ดอเลาะ และลูกยิงของ ศุภชัย ใจเด็ด

ทำให้ทัพ ช้างศึก เก็บชัยชนะได้ทั้ง 4 นัด เก็บ 12 แต้มเต็ม พร้อมยิงไป 10 ประตู และเสียเพียงประตูเดียว นอกจากนั้น ในทุกนัดที่ลงเล่น ก็ยกระดับการเล่นของตัวเอง ซึ่งหากทำได้อย่างนี้ มองว่าแชมป์อาเซียน ไม่น่าหลุดมือพวกเขาไป

แฟนบอลโปรไลเซนส์

By KICKOFF

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *