ซาลาห์ ต่อสัญญา ลิเวอร์พูล

ในที่สุด ข่าวที่แฟนบอลหงส์แดง รอคอยกันมานาน ก็ถูกประกาศออกมา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากทางสโมสร ได้ออกมายืนยันว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ต่อสัญญา ลิเวอร์พูล อย่างเป็นทางการ ไปจนถึงปี 2025

ซึ่งพวกเรา เก่งหลังเกม จะลองมาชวนเพื่อนๆ วิเคราะห์กันเล่นๆ ว่าการที่ หงส์แดง ต่อสัญญากับ อียิปเชี่ยน คิงส์ ออกไปได้ จะส่งผลอะไรตามมาบ้าง

ซาลาห์ ต่อสัญญา ลิเวอร์พูล จะส่งผลอะไรตามมาบ้าง

หลังจากคาราคาซัง กันมานานแสนนาน ในที่สุด ทีมงานซื้อขาย ด้วยการนำของ Julian Ward ผู้อำนวยการกีฬาของลิเวอร์พูล คนใหม่ ก็สามารถต่อสัญญา กับแนวรุกคนสำคัญ ได้ในที่สุด ด้วยค่าเหนื่อยราวๆ 350,000 แสนปอนด์ ต่อสัปดาห์

แต่ที่จะตามมา หลังจาก ซาลาห์เอฟเฟ็ค ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ไม่แพ้กันเลย เพราะเบื้องลึกเบื้องหลัง ในดีลนี้ ไม่ได้มีเพียงการต่อสัญญา กับผู้เล่นตัวหลักของทีมเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วย นัยยะอะไรบางอย่าง อยู่เหมือนกัน

อย่างแรกเลย ก็คือเพดานค่าเหนื่อย หลังจากเดิมที ซาลาห์ รับค่าเหนื่อยกับสโมสร อยู่ที่ราวๆ 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ โดยคนที่ได้มากที่สุด ได้แก่ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่รับอยู่ราวๆ 220,000 ปอนด์

การทำลาย เพดานค่าเหนื่อย ในครั้งนี้ เรียกว่าทะลุจากเดิมไปเกิน 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ด้วยซ้ำ นับแค่เจ้าตัวเอง ยังได้ค่าแรง เกือบเท่าตัวจากค่าเหนื่อยเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่ ลิเวอร์พูล ไม่เคยทำมาก่อน

สิ่งที่ตามมา คือนักเตะคนอื่นๆ ที่เหลือ ที่มีความสำคัญกับทีมไม่แพ้กัน จะงอแงเรียกร้อง สัญญาก้อนโต เนื่องจากเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ที่เหล่านักเตะคนสำคัญๆ จะนำเพดานค่าเหนื่อยของทีม มาใช้ต่อรองเจรจา

แต่การต่อสัญญา กับนักเตะตัวหลักของทีม ที่หากไม่เจ็บไม่ป่วย ยังไงก็ได้ลงตัวจริง ก็ถือเป็นเรื่องที่สมควร หากเทียบกับผู้เล่นแนวรุก คนอื่นๆ ที่เหลือ จะสังเกตุได้ว่า หากเกมไม่ขาดจริงๆ เจอร์เก้น คล็อปป์ แทบจะไม่เคยเปลี่ยน ซาลาห์ ออกจากสนาม

โดยคนที่ถูกเปลี่ยน มักจะเป็น ซาดิโอ มาเน่ หรือว่า โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ รวมไปถึงคนอื่นๆ ซะมากกว่า ซึ่งตรงจุดนี้แปลว่า คล็อปป์ มองว่า ซาลาห์ คือ ACE ของทีมอย่างไม่ต้องสงสัย

การรักษาผู้เล่น ACE ของทีมไว้ได้ ยังไงก็เป็นเรื่องที่ดี การไม่ต้องหาผู้เล่น ในระเดียวกันมาทดแทน ก็ถือว่าเบางานพวกเขาไปเยอะ แถมการหาผู้เล่นใหม่ ยังต้องลุ้นเรื่องการปรับตัว เหมือนกับคำที่ว่า รักษาคนเดิมไว้ได้ ก็เหมือนได้นักเตะใหม่

สิ่งต่อมาก็คือ ผู้เล่นดาวรุ่ง ในตำแหน่งเดียวกัน ก็จะได้รับโอกาสน้อยลง สืบเนื่องจากเหตุผลด้านบน คือ ซาลาห์ แทบจะไม่ถูกเปลี่ยนออกเลย หากเกมไม่ขาดจริงๆ หรือตัวกุนซือต้องการจะพัก

ดังนั้นการที่เราจะได้เห็น ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ หรือแม้กระทั่ง ไคดี กอร์ดอน ลงเล่นเป็นหนึ่งในแนวรุก ค่อนข้างหาดูได้ยาก เต็มที่ก็น่าจะได้ลงเล่น ในเกมฟุตบอลถ้วยรอบแรกๆ เพียงเท่านั้น

ส่วนอีกเรื่องที่สำคัญ คือแผนการเสริมทัพ ในฤดูกาลหน้า ซึ่งหลายคนรู้ดีกันอยู่แล้ว ว่าตำแหน่งมิดฟิลด์ เป็นตำแหน่งที่หลายฝ่าย ต่างก็ลุ้นให้สโมสร เสริมผู้เล่นในตำแหน่งนี้

อาจจะเนื่องจากตัวหลัก อย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เริ่มโรยรา รวมไปถึง ติอาโก้ อัลคันทาร่า ที่อายุของทั้งคู่ ก็เกิน 30 เข้าไปแล้ว แถม ฟาบินโญ่ เอง ก็จะอายุ 29 ปี ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

และที่สำคัญ หลายคนยังมองว่า ตำแหน่งมิดฟิลด์ เป็นตำแหน่งที่ ลิเวอร์พูล สู้ทีมหัวแถวอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เรอัล มาดริด ไม่ได้ เป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้พลาดแชมป์ 2 รายการหลักไปแบบน่าเสียดาย

ซึ่งแผนของทีม คือการเสริมผู้เล่นตำแหน่งนี้ ในฤดูกาลหน้า โดยมีเป้าหมายหลัก ได้แก่ จู๊ด เบลลิ่งแฮม กองกลางวัย 19 ปี ของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งค่าตัวอาจจะทะลุหลัก 100 ล้าน เลยทีเดียว

หากทีมเสีย ซาลาห์ ไปแบบไร้ค่าตัว ในปีหน้า การต้องหาตัวแทน ของผู้เล่นระดับดาวซัลโวของทีม พร้อมกับเสริมแดนกลาง ด้วยเงินมหาศาล มองไม่เห็นทางเลยจริงๆ ว่าสโมสร จะหาทางออกกันยังไง

และนั่น อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ ลิเวอร์พูล เลือกที่จะต่อสัญญา โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เพื่อให้ทีมยังพอ มีช่องว่างให้หายใจ สำหรับการเสริมทัพ ในฤดูกาลต่อไป ซึ่งน่าจะสำคัญ ไม่แพ้การถ่ายเลือด ของเหล่าผู้เล่นในแนวรุก

แฟนบอลโปรไลเซนส์

By KICKOFF

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *