บอลยูโร วันที่ยี่สิบสอง

บอลยูโร วันที่ยี่สิบสอง ก็ได้ลงแข่งกันไปเรียบร้อย พร้อมกับเป็นการปิดสนามของ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2020 ที่ต้องเลื่อนมาแข่งในปีนี้อย่างเป็นทางการ วันนี้ เก่งหลังเกม จะพาเพื่อนๆ ไปวิเคราะห์ฟุตบอลยูโร นัดชิง ระหว่าง อิตาลี กับ อังกฤษ ว่าในเกมนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผลเป็นอย่างไร รวมถึงสถานการณ์เพื่อเป็นการส่งท้ายกับรายการนี้กันครับ

kickoff88 ก็ขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคน ที่ติดตาม บทวิเคราะห์ฟุตบอล หลังเกม ฟุตบอลยูโร 2020 ของพวกเรามาตั้งแต่วันแรก จนมาถึงวันสุดท้าย ซึ่งหลังจากนี้ พวกเราก็จะยังมี บทความฟุตบอล ดีๆ มาฝากเพื่อนๆ เช่นเคย

วิเคราะห์ฟุตบอล บอลยูโร วันที่ยี่สิบสอง รอบชิงชนะเลิศ

ฟุตบอลยูโร รอบชิงชนะเลิศ คู่ระหว่าง อิตาลี พบ อังกฤษ

ในนัดชิงชนะเลิศนั้น ลงเล่นกันที่ สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เท่ากับว่าทาง อังกฤษ จะได้เล่นในบ้านตัวเอง ซึ่งค่อนข้างมีผลกับบอลนัดชิงมากๆ ครับ อย่างไรก็ตาม ฟอร์มของพวกเค้าในเกมหลังๆ ดูจะมีความกดดันมากขึ้น หลายคนเล่นได้แบบไม่สมควรจะเป็น

เกมนี้ อังกฤษ ปรับทัพมาเล่นหลังสาม เหมือนเกมนัดแรกๆ โดยใช้ สามเซ็นเตอร์แบ็คอย่าง ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์ และ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ โดยมี ลุค ชอว์ กับ คีแรน ทริปเปียร์ เป็นแบ็คซ้าย-ขวา ตามลำดับ ส่วนคู่กลางใช้คู่เดิมที่ใช้มาทั้งฤดูกาลอย่าง คัลวิน ฟิลลิปส์ จับคู่กับ เดแคลน ไรซ์ ส่วนสามแนวรุกใช้ เมสัน เมาท์, แฮร์รี่ เคน และ ราฮีม “เซาท์เกต” สเตอร์ลิง

ส่วนทาง อิตาลี ฟอร์มขี่หน่อยๆ แม้เกมล่าสุดจะต้องยื้อจนยิงจุดโทษกับ สเปน แต่ฟอร์มโดยรวมในนัดอื่นๆ ก็ยังดีกว่าทาง สิงโตคำราม อยู่นิดนึงอยู่ดี เพราะนอกจากการเจอทีมที่ครองบอลดีที่สุดในโลกอย่าง สเปน พวกเค้ามีฟอร์มการเล่นที่ข่มคู่แข่งมาตลอด แถมได้พักมากกว่าหนึ่งวัน

เกมนี้ พวกเค้าใช้ผู้เล่นชุดเดิม 100% ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตู จานลุยจิ ดอนนารุมม่า แบ็คโฟร์เป็น โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, จอร์โจ้ คิเอลลินี่ และ เอเมอร์สัน สามกองกลาง นิโคโล่ บาเรลล่า, จอร์จินโญ่ และ มาร์โก แวร์รัตติ ส่วนสามประสานในแนวรุกเป็น เฟเดริโก เคียซ่า, ชิโร่ อิมโมบิเล่ และ ลอเรนโซ่ อินซินเย่

เริ่มเกมมาไม่ถึงสองนาที อังกฤษ มาขึ้นนำเร็วจากจังหวะแก้บอลของ ลุค ชอว์ แล้วพักต่อไปที่ แฮร์รี่ เคน โดยกัปตันทีมชาติอังกฤษป้ายต่อไปให้ คีแรน ทริปเปียร์ ที่เติมขึ้นมา ก่อนจะครอสข้ามฝากมาให้ ชอว์ ที่ยื่นเหน่งๆ ยิงเบียดเสาเข้าไป ซึ่งจุดนี้ต้องชมเกมรุก อังกฤษ ทั้งแผง ที่ประดังเข้าไปเขตโทษ

จนกลายเป็น ดิ ลอเรนโซ่ ต้องทิ้งตำแหน่งเพื่อมาช่วยคู่เซ็นเตอร์ จนแบ็คซ้ายจากปีศาจแดง ไม่มีใครประกบแม้แต่คนเดียว แต่ในแง่ของแท็คติก ไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม เพราะ อังกฤษ กะมาเน้นรับอยู่แล้ว ส่วน อิตาลี พวกเค้าคงได้บทเรียนจากเกมก่อน เพราะหากปล่อยให้คู่แข่งตั้งเกมบุกเข้าใส่ พวกเค้างานเข้าแน่นอน

แต่ก็ต้องชมแผนและแท็คติกในเกมรับของทาง อังกฤษ จริงๆ เพราะแผน 4-3-3 ของอิตาลี ไม่ได้มีกองกลางตัวรุกที่คอยทะลวงเกมแดนกลาง โดยมิดฟิลด์ทั้งสาม ยืนเรียงเป็นหน้ากระดาน ทำให้ อิตาลี ต้องขึ้นเกมด้าข้างเป็นส่วนใหญ่ๆ

ซึ่งการมี 3 เซ็นเตอร์ของ อังกฤษ พวกเค้าไม่ได้ใช้เซ็นเตอร์คนใด ออกไปประคองแบ็คตรงริมเส้น แต่เป็นการซื้อใจให้ อิตาลี ครอสบอลเข้ามา แล้วรอเคลีย เรียกได้ว่าพวกเค้ามั่นใจกับการป้องกันในเขตโทษของพวกเค้ามาก เพราะในหลายๆ จังหวะ คู่กองกลางอย่าง ฟิลลิปส์ และ ไรซ์ ก็ลงมาช่วยตลอด

เรียได้ว่าในครึ่งแรก อิตาลี ที่ได้ครอสเยอะ จากการขึ้นเกมจากซ้ายและขวา แทบจะทำอะไรเกมรับของอังกฤษไม่ได้เลย มีเพียงไม่กี่จังหวะเท่านั้นที่พอจะเข้าเป้า ทำให้ส่วนใหญ่ อิตาลี ได้ส่องไกลจากนอกกรอบเท่านั้น

ในครึ่งหลัง ทาง อิตาลี ได้บุกเป็นน้ำเป็นเนื้อมากกว่าเดิม แต่ส่วนใหญ่ก็มาจากความสามารถเฉพาะตัวของ 2 ริมเส้นอย่าง อินซินเย่ และ เคียซ่า โดยเฉพาะรายหลังเล่นได้ค่อนข้างเด่น และอาจจะเด่นที่สุดในสนาม จนพอเจ้าตัวเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว ทำเอาเกมรุก อิตาลี ตันทันที

นอกจากนั้นแล้ว ก็มีการวางบอลยาวจากสองกองหลังอย่าง คิเอลลินี่ และ โบนุชชี่ ที่สองคนนี้ แทบจะกลายเป็นเพลย์เมคเกอร์ ของ อิตาลี เลยทีเดียว ด้วย อังกฤษ ส่วนใหญ่ลงไปรับในแดนเกือบทั้งหมด เลยเป็นการบีบให้ทาง อิตาลี ต้องใช้สองกองหลังเซ็ตบอลเกือบทั้งเกม

ซึ่ง อิตาลี มาตีเสมอได้จากจังหวะเตะมุม แต่เป็นทาง โบนุชชี่ ที่ซ้ำลูกขลุกขลิกแบบจ่อๆ เข้าไป ทำเอา อังกฤษ อยู่ไม่สุข ต้องปรับแผนกลับมาเล่นหลังสี่ โดยส่ง บูกาโย่ ซาก้า ลงมาแทน ทริปเปียร์ ซึ่งก็ยังเป็นสัญญาณว่า พวกเค้าจะยังเน้นเกมรับอยู่เหมือนเดิม

ก่อนที่จะจบ 90 นาทีแบบไม่มีใครทำอะไรกันได้ ต้องไปลุ้นในช่วงต่อเวลาพิเศษ ซึ่งในครึ่งแรกก็ยังพอมีจังหวะลุ้นอยู่บ้าง โดยเป็นทาง อังกฤษ ได้ลุ้นมากกว่า เนื่องจาก อิตาลี นั้นเปลี่ยนพวกจี๊ดๆ เลี้ยงกินตัวไปหมดแล้ว ส่วนในครึ่งหลังนั้นไม่มีจังหวะลุ้นๆ เท่าไหร่นัก ทำให้ต้องไปตัดสินกันในการยิงจุดโทษ

สุดท้ายแล้วเป็น อิตาลี ยิงแม่นกว่า เอาชนะไปแบบเฉียดฉิว 3-2 สิ่งที่น่าสนใจคือ อังกฤษ ที่ยิงเข้าสองคนแรก เป็นนักเตะที่เล่นมาทั้งเกมอย่าง เคน และ แม็คไกวร์ ส่วนสามคนต่อมา เป็นตัวสำรองอย่าง มาร์คัช แรชฟอร์ด, จาดอน ซานโช่ และ บูกาโย่ ซาก้า ยิงไม่เข้าแม้แต่คนเดียว

โดยเฉพาะ แรชฟอร์ด กับ ซานโช่ ที่เพิ่งถูกเปลี่ยนลงมาไม่กี่นาทีก่อนหมดเวลา จนอาจจะยังไม่ได้สัมผัสบอลเลยด้วยซ้ำ ตรงนี้น่าสนใจ เพราะแม้คนที่ทำได้ดีในการซ้อม แต่การเพิ่งถูกเปลี่ยนลงมา อาจจะยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก โดยเฉพาะน้ำหนักเท้าที่อาจจะยังกะไม่ถูก อันนี้ไม่ได้มีบทวิจัยและสถิติรับรองนะครับ

บทสรุป นัดชิง ยูโร 2020

ทำให้ทีมที่ได้แชมป์ ยูโร 2020 ในท้ายที่สุดก็เป็นทาง อิตาลี ที่คว้าแชมป์สมัยที่สอง ซึ่งหากจากสมัยแรกประมาณ 53 ปี ส่วน อังกฤษ ก็ยังคงต้องรอต่อไป หลังคว้าแชมป์เมเจอร์ครั้งล่าสุดได้ ก็ตอนบอลโลก 1966 แต่ก็ถือว่าค่อนข้างมีอนาคต เพราะทีมชุดนี้มีแต่นักเตะอายุน้อยๆ สามารถเล่นรวมกันได้อีกหลายปี

เช่นเดียวกับ อิตาลี ที่นักเตะหลายคนยังอายุไม่เยอะ และหลายคนที่พลาดมาในรายการนี้ เพราะอาการบาดเจ็บรบกวน มีเพียงคู่เซ็นเตอร์ ที่อายุรวมกัน 70 ปี อย่างไรก็ตามตัวตายตัวแทนก็ถือว่ามีอยู่ และเผลอๆ คู่นี้อาจจะยังเล่นรวมกันในบอลโลกสิ้นปีหน้าที่ กาตาร์ อีกรายการนึง

แฟนบอลโปรไลเซนส์

By KICKOFF

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *