รีวิว คอมมูนิตี้ ชิลด์ 2022 กับสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น : เก่งหลังเกม by แฟนบอลโปรไลเซนส์

เรียกได้ว่าดุเดือด สมกับเป็นการเจอกัน ของสองทีมระดับท็อปในปัจจุบัน แม้จะเป็นเพียงฟุตบอลการกุศล ระหว่าง “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” กับทาง “หงส์แดงลิเวอร์พูล จนพวกเรา เก่งหลังเกม อดใจไม่ไหว ที่จะมา รีวิว คอมมูนิตี้ ชิลด์ 2022 ให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน

รีวิว คอมมูนิตี้ ชิลด์ 2022 กับสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น

ฟุตบอลถ้วยการกุศล เอฟเอ คอมมูนิตี้ ชิลด์ 2022 เป็นการเจอกันของ สองทีมที่ดีที่สุดแห่งยุคเลยก็ว่าได้ เริ่มจากมุมฟ้า “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กับทางมุมแดงอย่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล แชมป์ฟุตบอลเอฟเอ คัพ

ซึ่งการเจอกันของทั้งคู่ เป็นเกมที่น่าสนใจมาตลอดหลายปีหลัง นับตั้งแต่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาคุม แมนซิตี้ หลังจากทาง เจอร์เก้น คล็อปป์ มาชิมรางก่อนเป็นเวลาครึ่งฤดูกาล การแข่งขันของทั้งคู่ นับวันก็ยิ่งทวีคูณความดุเดือด

เพราะทั้งสองสโมสร ยกระดับตัวเองขึ้นมาชัดเจน ปีที่แล้วก็แย่งชิงแชมป์ลีก บี้กันจนนัดสุดท้าย โดยทาง เรือใบ เป็นฝ่ายคว้าแชมป์ไป ด้วยคะแนนที่ต่างกันเพียงแต้มเดียว ส่วนฟุตบอลถ้วยอย่าง เอฟเอ คัพ หรือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก็เข้ารอบลึกทั้งคู่

ทำให้เกมนัดการกุศล ในนัดนี้ ได้รับความสนใจ จากเหล่าแฟนบอลทั่วโลก แม้ในฤดูกาลนี้ จะโยกไปแข่งขันกันที่สนาม คิงส์ พาวเวอร์ สเตเดี้ยม เนื่องจากสนามเวมบลีย์ ติดภารกิจในรายการ ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์ยุโรป หรือ ยูโร 2022

โดยนอกจากจะเป็น การเจอกันของสองทีมระดับท็อปสุด ของวงการฟุตบอล ณ ปัจจุบันแล้ว ยังเป็นการเจอกันครั้งแรก ของสองกองหน้า ที่แฟนบอลต่างจับตาดู อย่าง เออร์ลิง ฮาแลนด์ และทางด้านของ ดาร์วิน นูเญซ

ในเกมนี้ จะเป็นเกมนัดทางการ นัดแรกของทั้งคู่ ซึ่งถูกเปรียบเทียบกันมานานแล้ว ก่อนที่ทั้งคู่ จะย้ายมาอยู่กับต้นสังกัดใหม่ ที่ชิงดีชิงเด่นกันโดยตรง เลยกลายเป็นสงครามย่อมๆ ของทั้งคู่ ไปพร้อมๆ กันอีกด้วย

แม้ในเกมนี้ ความพร้อมของทั้งคู่นั้น จะไม่ 100% นัก เนื่องจากนักเตะบางราย เจออาการบาดเจ็บเล่นงาน ไล่จากของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เกมนี้จะไม่มี อายเมริค ลาปอร์กต์ และในส่วนของ ลิเวอร์พูล จะขาด อลิสซอน เบ็คเกอร์

ทำให้เกมนี้ทาง อาเดรียน ได้ออกสตาร์ทตัวจริง เนื่องจากมือสองอย่าง เคลเลเฮอร์ ยังไม่หายเจ็บเช่นกัน ส่วนแนวรับมาด้วยชุดใหญ่ ไล่ตั้งแต่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาโนลด์ โจเอล มาติป เวอร์จิล ฟานไดจ์ค และแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

สามมิดฟิลด์ ได้ชุดที่ดีที่สุดลงสนาม เริ่มจากกัปตันอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ฟาบินโญ่ และติอาโก้ อัลคันทาร่า ส่วนสามแนวรุกใช้ หลุยส์ ดิอาซ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ส่วนหน้าเป้าเป็น โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ปล่อยให้ หนูน นั่งรอที่ข้างสนาม

ทางฝั่ง แมนซิตี้ ไล่จากผู้รักษาประตู เอแดร์ซอน ส่วนแผงแบ็คโฟร์มี ไคล์ วอล์กเกอร์ รูเบน ดิอาส นาธาน อาเก้ และชูเอา คันเซโล่ ส่วนมิดฟิลด์ใช้ โรดรี้ แบร์นาโด้ ซิลวา และ เควิน เดอ บรอยน์ คอยบัญชาเกมแดงกลาง

ส่วนแนวรุก ส่ง เออร์ลิง ฮาแลนด์ ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง ขนาบข้างด้วย ริยาด มาห์เรซ และ แจ็ค เกรียลิช เรียกได้ว่ากุนซือของทั้งสองทีม ส่งชุดที่ดีที่สุดของพวกเขา ลงสนามกันอย่างพร้อมเพรียง

ระหว่างเกม

เริ่มเกมมา เป็นทางด้านฝั่ง หงส์แดง ที่ทำได้ดีกว่า โดยไม้เด็ดของพวกเขาในเกมนี้ ในบอลยาวสวิทซ้ายขวาไปมา ซึ่งถือว่าทำได้ค่อนข้างดี เพราะนักเตะแต่ละคน ดูจะวางบอลแม่นกันทั้งนั้น

ซึ่งพวกเขาก็ได้โอกาสทักทายอย่างรวดเร็ว จากทั้ง ดิอาซ และซาลาห์ ที่ดูจะเจาะทางริมเส้น แล้วตัดเข้ากลางอย่างคุ้นเคย ในส่วนของ ฟีร์มิโน่ ก็ลงไปคอยเชื่อเกมตามสไตล์ ซึ่งนอกจากการแย่งบอลและเพลสซิ่งแล้ว แทบจะไม่มีบทในเกมรุก

แล้วพวกเขาก็มาออกนำไปก่อน จากลูกยิงของ เทรนต์ ที่ไปแฉลบหัวของ อาเก้ เสียบเสาเข้าประตูไป ซึ่งจุดเริ่มต้นก็มาจาก การสวิทบอลข้ามฝั่งของ ติอาโก้ ที่เกมนี้โชว์คลาสให้เห็นชัดเจน ว่าเอาเกมแดนกลาง ได้แบบอยู่หมัด

ด้าน แมนซิตี้ ยังคงใช้แท็คติกเดิม คือการดึงตัว แบร์นาโด้ ลงไปต่ำ คอยแก้เพลสซิ่งของแนวรุก ลิเวอร์พูล แล้วพยายามเล่นบอลไดเร็คไปยังที่ว่าง แต่ต้องบอกว่าเกมนี้ แผงเกมรับ หงส์แดง ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม

ถึงขนาดที่ว่าในครึ่งแรก แทบจะลืม ฮาแลนด์ ไปเลยว่ามีเขาอยู่ในสนาม โดยเจ้าตัวมีโอกาสสัมผัสบอลไม่กี่ครั้ง เนื่องจากเหมือนจะยังไม่เข้าใจ ว่าจะต้องวิ่งไลน์ไหน ทำให้ทาง เดอ บรอยน์ เองก็ไม่รู้จะแทงช่องไหนเหมือนกัน

แต่สุดท้ายความใหญ่ และความจมูกไวของเจ้าตัว ก็หาโอกาสจบสกอร์ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ผ่านมือของ อาเดรียน ทำให้จบครึ่งแรก ทางด้านของ หงส์แดง เป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบไปก่อน

ในครึ่งเวลาหลัง ทาง เรือใบ กลับมาครองเกมมากขึ้น แต่ก็ต้องชมแนวรับของ หงส์แดง ที่ตั้งกับดักลำหน้ากันได้ดี จนทั้งสองทีมเริ่มเปลี่ยนตัว โดย แมนซิตี้ ส่ง อัลวาเรซ กับ โฟเด้น ลงมาแทน เกรียลิช ที่เล่นไม่ออก กับทาง มาห์เรซ ที่เลี้ยงไม่ผ่าน

โดยฝั่ง นูเญซ ที่เพิ่งลงมาได้ไม่นาน มีโอกาสเบิกสกอร์แบบใกล้เคียง ซึ่งเป็นกัปตันอย่าง เฮนเดอร์สัน ที่เห็นช่องแล้วจ่ายให้เจ้าตัวหลุด ไปเดี่ยวกับทาง เอแดร์ซอน แต่ด้วยบอลที่ห่างตัวเกินไป ทำให้กว่าจะยิง ก็โดนปิดมุมไปเกือบหมดแล้ว

หลังจากนั้น กลับเป็นทาง แมนซิ ที่ตีเสมอได้ จากลูกครอสที่เอาชนะกับดักล้ำหน้าได้เพียงนิดเดียว และเป็นตัวสำรองอย่าง ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ที่เป็นผู้ซ้ำลูกปั้มของโฟเด้น เข้าประตูไป ให้เกมกลับมาเท่ากัน

อย่างไรก็ตาม ทีมที่ทำได้ดีกว่า ในช่วงท้ายเกมแบบชัดเจน กลับเป็นฝั่งมุมแดง ที่วันนี้ได้ ซาลาห์ ร่างทอง เล่นไปยิ้มไป แถมทำอะไรก็ดูดีไปหมด หลังจากได้สัญญาใหม่ เล่นง่ายไม่ฝืน เรียกว่าไม่เสียที ที่สโมสรพังเพดานค่าเหนื่อย

โดยเจ้าตัวหยอดเข้าเขตโทษ และเป็นทาง นูเญซ โหม่งไปโดนแขนของ ดิอาส ซึ่งพอกรรมการไปดู VAR ก็ตัดสินใจให้จุดโทษ และเป็นทาง ซาลาห์ ที่ยิงเข้าไปแบบเฉียบคม ให้พวกเขาออกนำอีกครั้ง

และในช่วงทดเจ็บ ดาร์วิน นูเญซ มาเบิกประตูแรกของตัวเอง ได้แบบทางการ หลังจากจังหวะที่ ซาลาห์ คนดีคนเดิม ครอสไปเสาสองอีกครั้ง และเป็น แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่เติมมาโหม่งตั้งกลับมาให้ นูเญซ ขวิดเปลี่ยนทางเข้าประตู

จบเกม ทางด้านของ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปได้ 3-1 คว้าแชมป์เอฟเอ คอมมูนิตี้ ชิลด์ ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี และเป็นการคว้าแชมป์ทุกรายการของ ลิเวอร์พูล ในยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ อย่างเป็นทางการ

ซึ่งก่อนหมดเวลา ฮาแลนด์ มีโอกาสเบิกประตูแรกของตัวเองเช่นกัน แต่ดันยิงเต็มแรง บอลเลยเหินชนคานออกไป ซึ่งปัญหาจริงๆ ของ เรือใบ คือความฟิตที่ไม่ถึงระดับ บวกกับนักเตะหลายราย มีเวลาปรีซีซั่นกับทีมน้อย

หลังเกม

หากดูจากเกมนี้ ถ้าพวกเขาตัดสินใจ ปล่อยตัว แบร์นาโด้ ซิลวา ออกไปแล้วละก็ แดนกลางของพวกเขา น่าจะยวบพอสมควร ส่วนแนวรุก การเสียทั้ง สเตอร์ลิง และ เฆซุส น่าจะส่งผลในระยะยาว เนื่องจากสองผู้เล่นใหม่ ต้องใช้เวลาปรับตัวกับลีก

แถมเกมอุ่นเครื่องของพวกเขา เพิ่งจะเล่นไปเพียงสองนัด ซึ่งน่าจะยังไม่เพียงพอ เช่นเดียวกับทาง ลิเวอร์พูล ที่แม้จะเป็นผู้ชนะ แต่เชื่อว่าพวกเขา น่าจะยังต้องการ แมตช์ฟิตเนสมากกว่านี้ จนล่าสุดกุนซือของพวกเขา สั่งเพิ่มเกมอุ่นเครื่องอีก

ซึ่งการแก้ปัญหาของ หงส์แดง ในฤดูกาลนี้ ดูจะถูกจุดพอสมควร เนื่องจากปีที่แล้ว พวกเขาพลาดแชมป์ จากปัญหาในการจบสกอร์ ที่ยังดีไม่พอ แนวรุกยิงนกตกปลากันบ่อย แม้ปีที่แล้ว พวกเขาจะเป็นทีม ที่สร้างโอกาสมากที่สุด ในบรรดา 5 ลีกใหญ่ของยุโรป

การเติมอาวุธหนัก อย่าง นูเญซ ถือว่าตอบโจทก์อย่างมาก เพราะหากเทียบกับ ฟีร์มิโน่ ที่เป็นสายเชื่อมเกม ทำให้ความดุดันในเขตโทษ น้อยลงไปด้วย แต่ตัวของ หนูน พร้อมจะกระโจนในกรอบเขตโทษ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งสามารถคุกคาม แนวรับคู่แข่งได้อย่างดี

แต่เชื่อว่าสุดท้ายแล้ว หากตั้งหลักได้ ทั้งสองทีมจะกลับมาน่ากลัวเช่นเดิม แม้จะเจอกับความเปลี่ยนแปลง หรืออะไรก็ตาม ต้องมาคอยติดตามกัน ว่าศึกในการแย่งชิงความยิ่งใหญ่ ในฤดูกาลที่จะถึง ใครจะเป็นผู้สมหวัง

แต่ตอนนี้ก็ต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล ออกตัวนำไปก่อน 1 ถ้วยแล้ว

แฟนบอลโปรไลเซนส์

By KICKOFF

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *