สรุปผล เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ กับคู่ชิงชนะเลิศของฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

พาเพื่อนๆ ไปสรุปผล เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ กันซักหน่อย หลังฟุตบอลถ้วย ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ดำเนินมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว ซึ่งเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เกมในรอบรองชนะเลิศ ก็แข่งขันกันเสร็จ ทำให้เราได้คู่ชิงชนะเลิศ เป็นที่เรียบร้อบแล้ว

โดย เก่งหลังเกม จะมาเพื่อนๆ มาดูบทสรุป ของเกมทั้งสองคู่ พร้อมกันกับ บทวิเคราห์ฟุตบอล ในสไตล์ของพวกเราเช่นเคย

สรุปผล เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ กับคู่ชิงชนะเลิศของฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ของฤดูกาลนี้

1. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-3 ลิเวอร์พูล

เกมนี้ทาง เรือใบสีฟ้า ต้องพักผู้เล่นหลายต่อหลายคน แบบเสียไม่ได้ เนื่องจากเพิ่งบินไปแข่ง ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ประเทศสเปน เมื่อวันพุธที่ผ่านมา แถมผู้เล่นในเกมนั้น ก็สะบักสะบอม กันพอสมควร

เริ่มตั้งแต่ผู้รักษาประตู แนวรับ กองกลาง มีการพักตัวหลักเกือบทั้งหมด มีเพียงแดนหน้า ที่ยังพอดูเหมือน ผู้เล่นจากชุดตัวจริง ซึ่ง เป๊ป กวาร์ดิโอลา อาจจะทำใจ ปล่อยถ้วยใบนี้ แต่ถ้าเกิดสูสี อาจจะส่งชุดตัวจริง ลงมาในช่วงท้ายเกม

ด้าน หงส์แดง จัดเต็มแบบไม่มีกั๊ก เนื่องจากสถานการณ์ในฟุตบอลยุโรป ดีพอที่จะให้พวกเขา ส่งชุดสำรองลงเล่น ในเกมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา แถมเป็นการเล่นในบ้าน เกมนั้นจึงพักตัวหลัก เกือบทั้งหมด

มาเกมนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ส่งผู้เล่นชุดที่ดีที่สุด ลงสนามแบบฟูลทีม ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตู ยันกองหน้า โดยในส่วนของ เซ็นเตอร์แบ็ค ใช้ อิบราฮิม่า โกนาเต้ ที่เพิ่งโหม่งพังประตู ให้ทีมแบบรัวๆ ในเกมที่ผ่านๆ มา

โดยเริ่มเกมมา ทางฝั่ง แมนซิตี้ ยังคงเล่นเหมือนเดิม คือใช้ แบร์นาโด้ ซิลวา ลงต่ำมาคอยออกบอลยาว ร่วมกับ มิดฟิลด์ตัวรับอีกคน ที่เกมนี้ใช้ทาง แฟร์นันดินโญ่ ไว้ค่อยวัดกับ ไลน์กองหลังของทาง ลิเวอร์พูล ที่ดันขึ้นสูงเช่นเคย

แต่ หงส์แดง ที่เกมนี้ปรับมาใช้ โกนาเต้ ก็เอาเรื่องตั้งแต่หัววัน โดยการกระโดดขึ้นโหม่งลูกเตะมุม แบบเดี่ยวๆ ให้พวกเขานำขึ้นเร็ว ซึ่งต้องบอกว่า แผนของทาง เรือใบสีฟ้า น่าจะพังทลายทันที ตรงกันข้ามกับ ฝั่งมุมแดงที่เล่นง่ายขึ้นเยอะ

และอีกไม่นานหลังจากนั้น ซาดิโอ มาเน่ มาทำประตู จากจังหวะเข้าชาจผู้รักษาประตู แซค สเตฟเฟน ที่ยืนงกๆ เงิ้นๆ คล้ายจังหวะของ เอเดอร์ซอน ในเกมก่อน แต่เกมนี้ทาง มาเน่ ถึงตัวเร็ว เพราะสปีดมาตั้งหน้าเขตโทษ

ในครึ่งแรกต้องบอกว่า เป็นเกมของทาง หงส์แดง แบบ 100% แถมเกมสวนกลับ และบอลยาวของ เรือใบ ก็ไม่ได้ผลเหมือนในเกมก่อน ยิ่งดูแล้วยิ่งเข้าทาง ลิเวอร์พูล ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในช่วงท้ายเกม

จากการเซ็ตบอลอย่างสวยงาม และเป็นสิ่งที่แนวรุก หงส์แดง ทำได้ค่อนข้างดี ในการชิ่งบอลเร็ว คล้ายกับประตูแรก ในเกมลีกเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยเป็น ติอาโก้ อัลคันทาร่า ที่งัดบอลโด่ง ไปให้กับ มาเน่ ยิงไม่ต้องจับ บอลเข้าเสาแรกอย่างงดงาม

เมื่อจบครึ่งแรก แบบตามอยู่ 3 ประตู ทำให้ในครึ่งหลัง ทาง แมนซิตี้ ไม่ได้มีการขยับมากนัก แต่เปิดครึ่งหลังมาไม่นาน พวกเขามาตีไข่แตกได้ อาศัยจังหวะที่ เกมรับของคู่แข่ง ยังเซ็ตกันไม่ดี บุกขึ้นมาทำประตูตีไข่แตก

โดยการขึ้นบอลทางด้านขวาของตัวเอง เน้นเจาะทาง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่หลุดตำแหน่งบ่อยๆ และเป็นทาง กาเบรียล เฆซุส ที่ไหลถวานพานมาให้กับ แจ็ค เกรียลิช ยิงเข้าไปง่ายๆ ทำให้ตอนนี้ แมนซิตี้ ไล่ตามมาที่ 1-3

หลังจากนั้น แมนซิตี้ ยังคงเล่นมุขเดิม โดยพยายามเอาชนะ กับดักล้ำหน้า ซึ่งก็เริ่มได้ผลขึ้นเรื่อยๆ แต่ทาง ลิเวอร์พูล เอง ก็ได้ทาง อลิสซอน เบ็คเกอร์ ช่วยชีวิตไว้อีกเช่นเคย เรียกว่าจังหวะดวล 1-1 ของ พ่อหมี ทำได้อย่างยอดเยี่ยม เช่นเคยครับ

ซึ่งรูปเกมที่ค่อนข้างขาด และไม่ได้มีลุ้นมากนัก ทำให้ เป๊ป ตัดสินใจ ไม่เปลี่ยนตัวจริงลงไปสู้ กลับกันเป็นทาง คล็อปป์ ที่เลือกพักตัวหลัก หลังกรำศึกหนักมานาน แถมมีเกมลีกที่ต้องเจอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในคืนวันอังคาร

หลังจากนั้นรูปเกมของพวกเค้า กลายเป็นดรอปลง และเปิดโอกาสให้ทาง เรือใบ มากขึ้น จนพวกเขามาได้ประตูไล่มา 2-3 จากประตูของ แบร์นาโด้ ซิลวา แต่สุดท้ายก็ไล่ไม่ทัน เป็นทาง ลิเวอร์พูล เข้าไปรอชิงชนะเลิศ

2. เชลซี 2-0 คริสตัล พาเลซ

เชลซี ที่ไม่เหลืออะไรให้ลุ้นแล้ว นอกจากถ้วยใบนี้ เพราะสถานการณ์ในลีก ก็แทบจะการันตีอันดับ 3 หลังทีมที่แย่งโควต้า TOP4 ด้วยกัน ขยันสะดุดจนแต้มของพวกเขา นำห่างออกไปเรื่อยๆ แถมมีโปรแกรมค้าง มากกว่าชาวบ้านเขา

โดยเกมนี้ สิงโตน้ำเงินคราม มาด้วยผู้เล่นชุดใหญ่ ไล่จากผู้รักษาประตู นอกจากทาง ติอาโก้ ซิลวา และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่เป็นสำรองในเกมนี้ โดยกองกลาง ทูเคิ่ล เลือกใช้ จอร์จินโญ่ ลงคู่กับ มัตเตโอ โควาซิช

ด้าน คริสตัล พาเลซ เอง ก็ไม่มีลุ้นอะไรแล้ว หนีตกชั้นก็ไม่ต้องไปหนี โควต้าฟุตบอลยุโรป แต้มก็เกือบขาดไปแล้ว ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเขาเอามาใส่ในเกมนี้ โดยที่จะไม่มี คอเนอร์ กัลลาเกอร์ ที่ต้นสังกัดอย่าง เชลซี ไม่ให้ลง

โดยเกมนี้ วิเอร่า ปรับหมากพอสมควร มีการปรับผู้เล่นบางตำแหน่ง แต่แผนการเล่น เหมือนจะเน้นเกมรับเป็นพิเศษ แล้วอาศัยเกมสวนกลับเข้าว่า ซึ่งมี วิลฟรีด ซาฮา และ ฌอง-ฟิลิปป์ มาเตต้า ยืนเป็นคู่กองหน้า

เริ่มเกมมา แม้เป็นทาง สิงโตคำราม ได้ครองเกมบุกมากกว่า แต่พวกเขาไม่ได้มีโอกาสทักทาย ซักเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่จะเป็นการยิงนอกกรอบ จากการโดนบีบให้ยิง เพราะผู้เล่นของ พาเลซ ยืนกันเต็มเขตโทษไปหมด

เป็นทาง ปราสาทเรือนแก้ว ที่เกือบขึ้นนำก่อนด้วยซ้ำ จากจังหวะยิงบริเวณกรอบเขตโทษของ ชีคคู คูยาเต้ แต่ก็ไปติดเซฟของ เมนดี้ ที่ยังคงเหนียวหนึบเช่นเคย ทำให้ในครึ่งแรก ทั้งสองทีมยังเสมอกันที่ 0-0

โดยในครึ่งหลัง เชลซี ก็ยังบุกแบบเซฟๆ โดยการเน้นการขึ้นเกม ทางด้านริมเส้น ซึ่งก็ยังทำอะไรไม่ได้มาก หนำซ้ำยังเกือบโดนนำ จากจังหวะเตะมุม แต่ดีที่ คูยาเต้ ที่ได้โหม่งโล่งๆ โดนโหม่งไม่ดี บอลไปโดนหัวไหล่ ปลิ้นออกข้างซะอย่างนั้น

ก่อนที่อีกไม่กี่นาทีถัดมา ทาง สิงโตน้ำเงินคราม จะออกนำจนได้ จากจังหวะไปเพลสใส่ ไทริค มิตเชลล์ จนเสียบอลหน้าเขตโทษ และเป็น ไค ฮาเวิร์ตซ์ ที่ได้บอลบริเวณในกรอบ ก่อนแทงไปติด มาร์ค เกฮี

ซึ่งบอลดันมาเข้าทางปืน รูเบน ลอฟตัส-ชีค ยิงแบบเต็มข้อ ข้าประตูไป โดยมีแฉลบเล็กน้อย ทำให้ แจ็ค บัตแลนด์ เสียจังหวะ ทำให้หลังจากนั้น พาเลซ เริ่มอยู่นิ่งไม่ไหว มีการปรับหมาก แล้วเน้นเกมบุกมาขึ้น หวังเอาประตูคืนทันที

แม้จะได้บุกมาขึ้น แถมดูจะเริ่มขึงใส่ได้เล็กน้อย แต่พวกเขาก็ยังหาจังหวะจบ ไม่ได้ซักที แถมยังมาเสียประตูเพิ่ม จากจังหวะรับบอลของ ติโม แวร์เนอร์ แล้วรอจังหวะแทงให้ เมสัน เมาท์ แตะหลบเล็กน้อย แล้วหลุดเดี่ยวเข้าไปยิงประตู

หลังจากโดนนำสองประตู พาเลซ ก็โหมเกมบุกอย่างหนัก และน่าจะได้ประตูตีตื้น จากลูกเตะมุม แต่ในท้ายที่สุด โยอาคิม แอนเดอร์เซน ที่ได้โหม่งโล่งๆ แต่บอลกลับข้ามคานไปแบบหมดลุ้น เหมือนกับช่วยเคลียบอลให้

ช่วงท้ายเกมยังไม่มีอะไรกระเตื้องมากนัก แถมเป็นฝั่ง สิงห์ไฮโซ เกือบได้ลูกสามด้วยซ้ำ จนจบเกมไม่มีใครทำอะไรกันเพิ่มได้ เชลซี ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ไปพบกับ ลิเวอร์พูล คู่ชิงคู่เดิมในถ้วย คาราบาว คัพ

แฟนบอลโปรไลเซนส์

By KICKOFF

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *