แชมป์ยูโร 2020

แชมป์ยูโร 2020 ก็อย่างที่ทุกท่าทราบ ว่า ทีมชาติอิตาลี สามารถคว้าแชมป์ไปครองได้แบบไร้ข้อครหา ด้วยการโชว์ฟอร์มอันยอดเยี่ยม ตั้งแต่นัดแรกจนนัดสุดท้าย

วันนี้ Kickoff88 จะพาเพื่อนๆ ย้อนไปดูความยอดเยี่ยมของ อิตาลี ตั้งแต่นัดเปิดสนาม และหาเหตุผลว่าทำไม จากทีมที่ไม่ได้ไปเล่น ฟุตบอลโลก 2018 ถึงกลับมาผงาดคว้าแชมป์ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2020 ได้อย่างยิ่งใหญ่

ยุคการเปลี่ยนแปลงของ ทีมชาติอิตาลี

อิตาลี ในการคัดเลือกฟุตบอลโลก 2018 นั้นต้องอยู่ร่วมกลุ่มกับ สเปน ซึ่งต้องยอมรับว่าพวกเค้ายังเทียบ กระทิงดุ ในเวลานั้นไม่ได้ เลยจบเพียงอันดับสอง ต้องไปเล่นรอบเพลย์ออฟ กับทาง สวีเดน

ซึ่งเวลานั้น โค้ชของทีมอย่าง จานปิเอโร เวนตูร่า ทำทีมอิตาลีได้เละเทะพอสมควร ด้วยสไตล์ดั้งเดิมของ อิตาลี คือรับแล้วรอสวนกลับ บวกกับทรัพยากรในเกมรุกมีจำกัด เราจึงได้เห็นพวกเค้าทำประตูได้น้อยมาก อันเป็นสาเหตุว่าทำไม พวกเค้าถึงตกรอบเพลย์ออฟ ฟุตบอลโลกในครั้งนั้น

ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนมาใช้ บริการของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ซึ่งเจ้าตัวเป็นกุนซืออิตาเลี่ยน ในไม่กี่คนที่ทำทีมเน้นเกมรุกมาตั้งแต่เริ่มอาชีพ โดยเกมแรกๆ ที่ทาง มันชินี่ คุมทีมในเกมอุ่นเครื่องและ เนชั่นส์ ลีก ก็ต้องบอกว่าเริ่มต้นได้ไม่ดีเท่าไหร่ เนื่องจากแท็คติกค่อนข้างแตกต่างจากเดิมมาก

ซึ่งในรายการ เนชั่นส์ ลีก ครั้งแรก พวกเค้าก็ยังทำผลงานได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะในแนวรุก ทำให้หลายคนยังมองไม่เห็นอนาคตว่า ทีมๆ นี้จะมีอนาคตที่ดีได้อย่างไร ในเมื่อทำอะไรได้ไม่ต่างจากเดิมเลยแม้แต่น้อย

จุดเริ่มต้น แชมป์ยูโร 2020

แต่หลังจากนั้นในรายการ ยูโร รอบคัดเลือก พวกเค้ากลับกลายเป็นอีกทีมในทันที เนื่องจากแท็คติกของทีมที่ปรับมาเล่นเกมรุก เริ่มออกดอกออกผล ลบภาพเดิมที่แค่ได้ยินคำว่า อิตาลี ก็นึกถึงฟุตบอลเกมรับไปทันใด

กลายเป็นว่าทัพ อัซซูรี่ กลายเป็นบอลที่เล่นเท้าสู่เท้า มีการเล่นตั้งเกมบุกจากแนวหลัง แม้กระทั่งโดนเพลสซิ่งยังไม่มีอาการล่กให้เห็นแม้แต่น้อย ซึ่งความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ หากไม่ให้เครดิตแก่ มันโช่ ก็คงจะใจร้ายกันไปซักหน่อย

อีกปัจจัยที่สำคัญ คือนักเตะ อิตาลี เจนใหม่ๆ กลายเป็นนักฟุตบอลที่ทักษะเกมรุกค่อนข้างดี ทั้งกองกลางและกองหน้า มีตัวเลือกขึ้นมาให้เลือกใช้เยอะจนเลือกไม่ถูก ซึ่งแม้ก่อนรายการนี้จะเริ่ม พวกเค้าเสียนักเตะหลายคนจากอาการบาดเจ็บ แต่ดูแล้วก็ไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย

หนึ่งในนั้นคือ เฟเดริโก้ คิเอซ่า แข้งวัยรุ่น ที่แบก ฟิออเรนติน่า มานานหลายปี จนมาแบก ยูเวนตุส ต่อในฤดูกาลที่ผ่านมา หากใครไม่ใช่แฟนบอลลีกกัลโช่ เซเรีย อา อาจจะไม่คุ้นชื่อเจ้าตัวนัก พวกกับแข้งพลังม้าอย่าง นิโคโล่ บาเรลล่า กองกลางตัวหลักของ อินเตอร์ มิลาน ที่อาจจะทำผลงานได้ไม่ดีในฤดูกาลนี้

หากมองเกมรับ แม้พวกเค้าจะปรับสไตล์ แต่คุณภาพเวลาป้องกันไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย อย่างผู้รักษาประตู หลังจากหมด จานลุยจิ บุฟฟ่อน ผู้รักษาประตูระดับตำนาน แต่ได้ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ที่ฟอร์มดีที่สุดในเซเรีย อา ตั้งแต่อายุยังไม่ 20 ปี ขึ้นมาทดแทนได้พอดิบพอดี

สำหรับกองหลัง ไม่ต้องห่วงครับ เพราะคู่ปราการหลังตัวกลางอย่าง จอร์โจ้ คิเอลลินี่ และ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ที่อายุรวมกัน 70 แต่ยังเล่นด้วยกันได้อย่างลงตัว ไหนจะคนที่คอยสแปร์อย่าง ฟรานเชสโก้ อแชร์บี้ ที่ฟอร์มดีที่สุดในลีก กับ อเลสซานโดร บาสโตนี่ กองหลังดาวรุ่ง ที่เป็นตัวหลักพา อินเตอร์ มิลาน กลับมาคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ได้ในรอบสิบปี

คิดดูเอากองหลังของพวกเค้าแน่นขนาดที่ว่า ไม่มีที่ว่างให้กับ กัปตัน เอซี มิลาน อย่าง อเลสซิโอ โรมันโญรี่ กับ จิอันลูก้า มันชินี่ อีกสองกองหลังที่ชื่อดังมานาน แบบนี้จะมาพูดว่า อิตาลี ชุดนี้ไม่มีสตาร์มันน่าขำขนาดไหน

นั่นทำให้ผลงานในรอบคัดเลือกของพวกเค้า ชนะรวดทั้ง 10 นัด ยิงไปได้ถึง 37 ประตู และเสียไปเพียง 4 ต่อด้วยผลงานในรายการ เนชั่นส์ลีก ระดับเอ กับการคัดบอลโลก พวกเค้าไม่แพ้ใครเลยแม้แต่นัดเดียวจนถึงปัจจุบัน

พอถึงเวลาเล่นจริง ก็อย่างที่ทุกคนทราบ พวกเค้ามาโหดตั้งแต่นัดเปิดสนาม ไล่ถล่ม ตุรกี ที่หลายคนมองเป็นม้ามืดไป 3-0 ก่อนที่นัดต่อมา จะชนะทีมที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเสมอในระยะหลังอย่าง สวิตเซอร์แลนด์ ด้วยสกอร์ 3-0 เช่นกัน และนัดสุดท้าย ส่งสำรองลงเกือบหมด แต่ก็เฉือนเอาชนะ เวลส์ 1-0 แบบชิลๆ

แต่ถึงกระนั้น หลายคนก็ยังมองว่า พวกเค้าไม่น่าจะถึงแชมป์ เนื่องจากปรามาศว่า “ยังไม่เจอของจริง” เพราะเกมในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เกือบตายก่อนที่จะชนะ ออสเตรีย ได้ในช่วงทดเจ็บ แต่หากมองกันจริงๆ ออสเตรีย ในช่วงหลังสู้ได้ทุกทีมแบบไม่เป็นรอง พวกเค้าขาดแค่คุณภาพในพื้นที่สุดท้ายเท่านั้น

โดยในรอบ 8 ทีม อิตาลี ต้องมาเจอกับอันดับ 1 ฟีฟ่าแรงค์กิ้ง อย่าง เบลเยี่ยม แต่สุดท้ายพวกเค้าก็ผ่านมาได้ด้วยชัยชนะ 2-1 แบบที่ไม่ได้ลุ้นหนักมากนัก แต่ถึงตอนนี้หลายคนก็ยังคงมองว่า พวกเขายังไม่น่าจะดีพอที่จะคว้าแชมป์ได้อยู่ดี

เกมสำคัญคือเกมในรอบรองชนะเลิศ พวกเค้าต้องตกเป็นเบี้ยล่างคู่แข่งเป็นเกมแรก เพราะพวกเค้าต้องเจอกับ สเปน ที่ขึ้นชื่อเรื่องการครองบอล แบบไม่มีใครเทียบ โดย อิตาลี ก็พยายามเล่นเพลสซิ่งสู้ตั้งแต่เริ่มเกม แต่พอเล่นไปได้ไม่นานก็รู้ตัวครับว่าเหนื่อยเปล่า

จนตลอดทั้งเกม พวกเค้าต้องตกเป็นรอง โดน กระทิงดุ ไล่ขวิดทั้งเกม แต่ปัญหาของ สเปน ในปัจจุบัน คือไม่มีผู้เล่นที่จบสกอร์ดีๆ เลยแม้แต่คนเดียว ทำให้กว่าจะมาได้ประตูตีเสมอ ก็ปาไปช่วงท้ายเกม ทำให้ อิตาลี ต้องไปลุ้นกันต่อในช่วงต่อเวลา

ซึ่งในช่วงต่อเวลาก็หนังม้วนเดิมครับ อิตาลี ยังคงเล่นเกมรับของตัวเองได้ดี บวกกับ สเปน ก็ยังจบสกอร์ได้กระจอก ทำให้ต้องไปลุ้นในการดวลจุดโทษ ซึ่งผลก็ออกมาตามคาด เป็นทาง อิตาลี ที่ยิงแม่นกว่าเอาชนะไป 4-2

ในรอบชิง อิตาลี ที่ต้องเจอกับ อังกฤษ ในสนาม เวมบลีย์ ก็ถือว่าเสียเปรียบอยู่ แถมยังมาเสียประตูอย่างรวดเร็วในขณะที่ยังไม่ครบสองนาทีดี แต่พวกเค้าก็ไม่มีรน ค่อยๆ หาจังหวะทำประตูไปเรื่อยๆ แม้ทาง อังกฤษ จะลงไปป้องกัน กันทั้งทีมก็ตาม

ก่อนที่จะมาได้ประตูตีเสมอในครึ่งหลัง จากลูกเตะมุม แต่พวกเค้าก็ยังมุ่งมั่นที่จะเล่นเกมบุกของตัวเองต่อไป จนกระทั่ง คิเอซ่า มาเจ็บท้ายเกม ประกอบกับตัวหลักที่เล่นเกมรุกดีๆ ได้ถูกเปลี่ยนตัวออกไปหมดแล้ว ทำเอาช่วงเวลาที่เหลือ กลายเป็นพวกเค้าต้องมาตั้งรับแทน

แต่ไม่รู้ว่าด้วย อังกฤษ เองเล่นเกมรับจนชิน หรือ จะบอกว่า อิตาลี ยามต้องมาเล่นเกมรับก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ก็ไม่ผิดนัก พวกเค้าหยุดเกมรุกของ สิงโตคำราม ไว้ได้สบาย ด้วยต้องการไปลุ้นในช่วงยิงจุดโทษมากกว่า

โดย อิตาลี สามารถเอาชนะในการดวลจุดโทษ 3-2 คว้าแชมป์ไปได้แบบยิ่งใหญ่ ส่วนนึงก็ต้องชมการเลือกคนยิงของทาง อิตาลี โดยแทบจะใช้ชุดเดิมจากเกมที่ยิงจุดโทษชนะ สเปน มาเลย ซึ่งผู้เล่นทั้งหมดที่ยิง ก็เป็นผู้เล่นที่ลงมาเล่นได้ซักพักนึงแล้ว ไม่ได้มีการเปลี่ยนตัวเพื่อให้ใครลงมายิงโดยเฉพาะ

บทสรุป

ผลที่ออกมา ก็คือว่าพวกเค้า พลิกจากทีมที่ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย กลายมาเป็นแชมป์ทวีปอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งเครดิตที่ต้องให้ ก็คงเป็นทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งการตัดสินใจใช้ มันชินี่ คุมทัพ ซึ่งเป็นแท็คติกที่แปลกจากเดิม อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ

และที่สำคัญ การพัฒนาเยาวชน ที่เพิ่มทักษะในเกมรุกแบบไม่น้อยหน้าใคร ผิดจากเดิมที่พวกเขา มีนักเตะเกมรุกชูโรงไม่กี่คนในแต่ละยุค (บาจโจ้, เดล ปิเอโร่, ต็อตติ) จนกลายมามีตัวเลือกมามาย ทั้งในปัจจุบันและ อนาคต

ครั้งนี้พวกเค้ายังขาดทั้ง นิโกโล่ ซานิโอโล่ อีกหนึ่งแนวรุกพรสวรรค์สูงที่สุดคนนึง ไหนจะ ลอเรนโซ่ เปลเลกรินี่ และ สเตฟาโน่ เซนซี่ ที่จะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำคัญ หากทีมต้องการคุณภาพในเกมบุกเพิ่มเติมจากคนที่มี

ซึ่งหลังจากนี้ พวกเค้าไม่มีอะไรน่าห่วงเลย ในเมื่อนักเตะเจนใหม่ๆ มีให้เลือกมากมายทุกตำแหน่ง ดูท่าแล้ว ใน ฟุตบอลโลก 2022 ที่กำลังจะเริ่มในอีกปีครึ่ง พวกเค้ายังเก่งขึ้นได้มากกว่าตอนนี้เยอะเลยครับ และถึงวันนั้นพวกเค้าจะคว้าโทรฟี่ใหญ่ อีกรายการได้รึเปล่า ต้องรอดูกัน

แฟนบอลโปรไลเซนส์

By KICKOFF

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *